เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

การปราบทิษฐิคนที่เห็นผิดอยู่..มันต้องมีการโต้แย้งเป็นธรรมดา...เรามีแค่ศีล5...เพราะฉะนั้นกฏระเบียบย่อมน้อยกว่าพระที่มีศีล227....เข้าใจไหมจ๊ะแม่ชี

 

ใช่ค่ะ เพราะมนุษย์คิดกันแบบนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเปรียบมนุษย์แต่ละคนไม่ต่างไปจากมอดแต่ละตัวในเนื้อไม้ รู้ทั้งรู้ว่าร่องรูในเนื้อไม้นั้นเป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตน แต่กลับร่วมกันกัดช่วยกันแทะอย่างไม่บันยะบันยัง ไม้แท่งนั้นก็เหลือแต่ซากผุ ๆ พัง ๆ ไม่มรแม้แต่กากใยแห่งเศษอาหารให้ประทังชีวิต

สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า น่าเสียดายที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในระบบโลกและในจักรวาล มิได้มีตัวตน ในมิติทางกายภาพ ซึ่งตนสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้เพียงมิติเดียวเท่านั้น แต่จริง ๆ ยังมีอีกมิติหนึ่งซึ่งเป็นมิติคู่ขนาน ที่ไม่สัมผัสรู้ดูเห็นได้เพราดถูกปกปิดมิติเอาไว้ นั่นคือมิติทางพลังงาน หรือด้านตัวตนที่เป็นแก่นแท้

การที่หินแต่ละก้อน สามารถคงสภาพรูปธรรมความเป็นก้อนหินของตนเอาไว้ได้ ก็เพราะมีตัวตนในมิติทางพลังงานที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งเร้นอยู่ข้างใน ช่วยกันเหนี่ยวรั้งอนุภาคชิ้นเล็ก ๆ ทุกชิ้นที่เป็นตัวตนในมิติทางกายภาพของหินก้อนนั้นเอาไว่ด้วยอย่างมั่นคงและเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในทางศาสนา จะเรียกรูปธรรมซึ่งเป็น ตัวตนในมิติพลังงาน ที่เร้นอยู่ภายในมิติทางกายภาพซึ่งมีรูปธรรมก้อนหินนี้ว่า "วิญญาณ"

โลกก็เช่นเดียวกัน.....

ภายในใจกลางโลกจะมีก้อนออกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100 % ซึ่งมีขนาดใหญ่มากติดตั้งอยู่โดยมันจะมีลักษณะใส ข้น และเหนียวหนืดคล้ายตังเม เมื่อสะท้อนแสงก็จะเป็นเงาวายคล้ายปีกสีแมลงทับ ซึ่งอะตอมออกซิดจนนี้จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบที่ว่องไวต่อประจุไฟฟ้าบวกอันเกิดจากคลื่นพลังจิตด้านบวกของมนุษย์โลกเป็นอย่างมาก โดยมันจะก่อให้เกิดปฏิกริยานิวเคลียร์ในระดับอะตอมที่ระเบิดได้อย่างรุนแรงมาก



มนุษย์ไม่สามารถช่วยค้ำจุนความสมดุลของระบบโลกสองมิตินั้นได้ ดาวเคราะห์โลกทั้งระบบก็จะค่อย ๆ แสดงอาการเสียสมดุลที่รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

 

แรงจิ๊ง... แต่มันก็จะสมเหตุสมผล
หรือกล่าวแบบมัคุณธรรมสูงก็ว่า สมควรแก่เหตุ

 

เอ้ย กลัวนังยิ้มมันได้สติ ลาออกจากเอฟซีหรอวะ งัดศีล 5 มาเลยเว้ย หลอกล่อสุดฤทธิ์

 

สังคมไฮโซ...มันก็แค่เปลือก..สวมหน้ากากเข้าหากัน...หลงสมมุติไม่สิ้นสุด

 

ท่านมีศีลบริสุทธิ์กี่ข้อแล้วล่ะ..ท่านปวี

 

ไม่ต้องยกใครเปรียบ
มันก็เป็นธรรมชาติของมันแต่เราถูกความรู้
และทฤษฎีรวมทั้งศาสนาความเชื่อ
บังความจริงธรรมะนั้นไว้

 

ไม่หรอกค่ะ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น คนฉลาดจะต้องรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร ใครกรรมใดไว้ย่อมมีกรรมเป็นของเขาติดตามตนไปเสมอ

เวลากรรมส่งผลให้เขา เขาจะรู้เองว่าเวลาตนเองโดนเข้าบ้างมันเจ็บปวดทรมานเพียงใด

หากเรารักและเคารพบูชาพระพุทธเจ้าจริง ว่าท่านคือผู้รอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง ท่านห้ามสิ่งไว้ไม่ให้ทำ เราปฏิบัติตามผลดีนั้นก็ตกแก่เราเองค่ะ

 

งั้นก็ตะลุมบอนกันต่อไป555

อาจจะช่วยคนให้รอดพันได่สัก 60_ 70 คน
ก็ยังดีฮับ

 

ทุกคนอาจคิดเช่นนั้น แต่จิตยิ้มว่าไม่ใช่ค่ะ ถ้าจิตยิ้มไม่พิจารณาสัจธรรมความจริงตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสบอกไว้แล้ว เราจะไม่สามารถนำความรู้นั้นมาพิจารณาลงสู่ที่ใจ แล้วก็ทำให้เราได้พบประจักษ์แจ้งสัจธรรมความจริงแก่ใจตนได้อย่างแน่นอนเลยค่ะ

 

การคิด การพิณา
มันไปไม่ถึงสัจจะ ของท่านมหาสมณะโคดม
ฮับ

 

ออกไปจากแรงดึงดูดของพลังงานลบสิแม่ชี...เมื่อท่านออกไปได้ครั้งนึงแล้ว..ท่านก็ไม่ติดอยู่แม้ว่าจะกลับเข้ามาอีกก็ไม่ติดอยู่เพราะรู้ถึงแก่นแท้แล้วนั่นเอง...แรงดึงดูดที่กล่าวถึงนี้คือธรรมารมณ์...เมื่อยังมีธรรมารมณ์เกิดขึ้นอยู่มันก็จะเกิดเป็นวิญญาญ....แต่เมื่อยังอาศัยขันธ์5นี้อยู่..ผัสสะย่อมเกิดเป็นธรรมดา..แต่จะไม่ปรุงแต่งต่อ...นั้นคือผู้พ้นแล้วจากโลกนี้

 

โลกคือเรา...เราคือโลก...เป็นสัจธรรมความจริง

 

แต่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำลายโลกจึงจะพ้นโลก..คือ..โลกไม่ใช่เรา...เราไม่ใช่โลก...โลกไม่มีในเรา...เราไม่มีในโลก...เป็นความจริงแท้ที่บริสุทธิ์

 

สังคมต่ำๆกะศีลแต่ปากแบบมึงเนี่ยะแหล่ะ กุจะเล่นแม่งให้หนัก เงี่ยนนัก สัส

 

เรากะโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทำลายโลกคือทำลายธรรมะ
แล้วจะอาศัยอะไรแจ้งโลกฮับ

 

การคิดพิจารณา ก็คือ โยโสมนสิการ การตรึกถึงความจริงหยั่งลงสู่ใจ เช่น การสลดปลงสังเวชถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตนเองเกี่ยวกับความทุกข์ที่ผ่านมา แล้วใจเกิดสลดยอมรับในความจริง กลับเบื่อหน่ายและปล่อยวางลงได้บ้าง ประมาณนี้นะคะ

มิใช่คิดร่ำเพ้อพรรณาหาสาระไม่ได้ แบบนั้นค่ะ

แม้กระทั่งการเตือนตนเอง การเห็นทุกข์เห็นโทษในตนเองก็ล้วนมาจากสัญญา แล้วเกิดการพิจารณาเห็นทั้งนั้นแหละค่ะ

พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า

ญาณ คือ สัญญา สัญญาณ เกิดก่อน ญาณ ต้องลองไปหาอ่านและพิจารณาดูค่ะ

การสลดสังเวชในทุกข์ตนเอง แล้วน้อมมาหยั่งลงที่ใจ ด้วยสติและสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ด้วยการหยั่งรู้นั้น ก็อาจทำให้เรารู้แจ้งได้พบกับความจริงในความทุกข์ หรือ หยั่งความจริงในสมมุติ เพื่อให้พบความจริงในวิมุตติ ทำนองนี้นะค่ะ

 

โลกที่ว่านี้หมายถึงร่างกายขันธ์5..อายตนะ6..

 

5555 เรากับโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน หมายถึง การที่เราและโลกต่างต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่คิดทำร้าย หรือทำลายกัน เปรียบเหมือน บ้านหรือแพ นะค่ะ

พระพุทธองค์ยังตรัสไว้เลยว่า จะข้ามฟากก็ต้องใช้แพ แล้วเมื่อถึงฝั่งก็วางแพไว้ ไม่แบกข้ามไปด้วย

เมื่อโลกเป็นอุปกรณ์ให้เราได้เรียนรู้สมมุติ เพื่อก้าวไปวิมุตติ เราก็ต้องรักและเป็นหนึ่งเดียวกันกับสิ่งที่ช่วยให้เราก้าวพ้นฝั่งไปด้วยนะค่ะ

 

เราจะอธิบายแบบวิทยาศาสตร์....การคิดพิจารณาโดยแยบคายหรือวิปัสนานั้น..มันคือการควบแน่นเมื่อมันอัดแน่นมากๆถึงที่สุดแล้ว..มันจะระเบิด..แล้วเกิดเป็นสิ่งใหม่...ในสภาวะจิตก็เช่นเดียวกัน...เมื่อมีสมาธิพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆเข้าจิตมันจะรวมพรึ๊บลงทันที...แล้วจะเกิดเป็นวิปัสนาญาญ...หรือ..ปัญญาญาณนั่นเอง