เรื่องเด่น พระพันปีหลวงทรงพระโสดาบัน โดยหลวงพ่อวัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย montrik, 19 สิงหาคม 2021.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,126
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,087
    ⚜️พระพันปีหลวงทรงพระโสดาบัน⚜️

    ✴️ ก็เล่าถึงนิมิตว่า ก่อนจะไปมีนิมิตเกิดขึ้นอันหนึ่ง คือว่าก่อนที่จะลงกรรมฐาน สอนกรรมฐานคืนนั้นคืนแรก ตอนทุ่มหนึ่งพอใจสบาย ก็เห็นท่อน้ำแป๊ปที่เราต่อไว้ แต่ว่ามันมีน้ำใสท่วม ท่วมขึ้นมาสูง แต่น้ำนี่ใสมากและท่อแป๊ปก็ขาด ท่อแป๊ปมันขาดออกไปแต่มันไม่สลายตัว มันขาด มันห่างกันไปนิด ฉันเห็นฉันก็นิ่งเสีย ฉันก็ไม่ตีความหมายพยากรณ์นิมิต

    ✴️ ทีนี้ต่อมาตอนเช้ามืด ลุกขึ้นมาจงกรมตอนตี 3 กว่าๆ ก็จงกรมเดินไปเดินมาก็เห็นสมเด็จองค์ปฐมท่านมา ท่านก็ถาม

    “นิมิตตอนหัวค่ำเธอรู้ไหมว่าเป็นเรื่องอะไร...?”

    ก็เลยบอก “เรื่องอะไรข้าพระพุทธเจ้าจะยุ่งกับนิมิต”

    บอก “บ๊ะ ! ฉันบอกเรื่องนิมิต เธอไม่คิดมั่งเลย”

    บอกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่คิด เรื่องอะไร ถ้าจะบอกก็บอกตรงๆ มานั่งคิดเรื่องนิมิตก็ปวดหัวตาย เดี๋ยวก็มีนิมิตอย่างโน้นเดี๋ยวก็มีนิมิตอย่างนี้ ไม่เอาด้วย นิมิตนี่ไม่เอา”

    ✴️ ท่านก็เลยบอกว่า “การไปคราวนี้มีคนหนึ่งนะ มีอารมณ์เข้าถึงพระโสดาบัน”
    ฮึ! ท่านบอกนะ

    บอก “น้ำใสนั้นแสดงว่าน้ำใจบริสุทธิ์ มีอารมณ์เป็นกุศล ไอ้ท่อแป๊ปที่มันขาด แต่ขาดมันไม่ละลาย ขาดห่างออกไป แต่แป๊ปนี่มันเป็นเหล็ก ถ้ามันจะกลับเข้ามาชนกัน มันก็เนื้อไม่ติดกันตามเดิม ก็แสดงว่าคนผู้นั้นเข้าถึงโลกุตตรธรรมและก็เป็นโลกุตตรธรรมเบื้องต้น”

    ⚜️และถามท่านว่า “ใคร...?”

    “ก็จะเป็นใคร ก็พระราชินีเจ้าภาพแกนี่”

    ✴️ ท่านบอกไปเลย ท่านบอก ก็เลยเล่าให้ท่านฟัง บอกนี่พระท่านว่างี้ เชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็แล้วไป จริงก็ช่างไม่จริงก็ช่าง ก็ตอบเล่าเรื่องนิมิต แล้วท่านก็สงสัย พระราชินีท่านก็นั่งนึก บอก “เอ๊ะ ! คนอย่างฉันจะเป็นพระโสดาบันได้หรือ...?”

    ก็เลยเรียนถามท่าน บอกว่า “แล้วคนประเภทไหนที่เขาเป็นพระโสดาบันได้...?”

    ✴️“คนที่เป็นพระโสดาบันได้ก็คือ มีอาการ 32 มีสติสัมปชัญญะดี มีจิตน้อมไปในกุศล”

    ท่านก็ถามว่า “พระโสดาบัน องค์พระโสดาบันมีอะไรบ้าง...?”

    ในหลวงบอก “เอ๊ะ! ฟังอยู่ทุกวันน่ะ” (หัวเราะ) ตอนนี้ขู่ ฟังทุกวัน

    ท่านบอก “ฉันก็อยากจะขอความมั่นใจ”

    ⚜️ก็เลยทูลท่าน บอกว่า

    ✴️“พระโสดาบันมี ๓ ขั้น เอกพิชี โกลังโกละ สัตตักขัตตุปรมะ แต่ว่าจะเป็นขั้นไหนก็ตาม นั่นก็คือ

    ๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมันมีความเลื่อมใส มีจิตน้อมนึกมั่นคง

    ประการที่ ๒ มีศีลบริสุทธิ์

    ประการที่ ๓ มีอารมณ์หยั่งพระนิพพาน”

    ท่านก็นั่งนึก คงจะนึกไล่เบี้ยไปเอง “เอ๊ะ! ถ้าอย่างนี้ฉันก็คงจะมีแล้ว”

    ในหลวงบอก แหม...ฉันไม่นึกว่าเธอจะซื่อขนาดนี้เลย (หัวเราะ) ทะเลาะกัน วันนั้นรู้สึกครื้นเครงมาก พวกชาววังดีใจมาก ตอนเช้ามาเล่าให้ฟังดีใจ บอก แหม...หลวงพ่อมารู้สึกว่า ในหลวงรู้สึกพระพักตร์สดชื่น เจอะหน้าใครก็ยิ้มตลอด เวลาตอนเช้าพวกเขาก็ว่า ตามปกติเห็นท่าน พระพักตร์ท่านเครียดตลอดเวลา

    บอก “ฉันไม่นึกว่าเธอจะซื่ออย่างนี้เลย ความจริงฉันนึกมานานแล้วว่า อันนี้เธอทำได้แล้ว แต่ฉันขี้เกียจพูด ฉันก็ไม่อยากพูด ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันรอถามหลวงพ่อเหมือนกัน นี่เธอถามเสียก่อน”

    ✴️ โดยมากถ้ามีปัญหาแล้ว พระราชินีท่านชิงถามก่อน

    พระราชินีท่านก็รู้สึกว่า ท่านถามมาอีกทีบอกว่า “ถ้าจะทำให้มั่นคงนี่”

    ⚜️ บอกว่า “มีอันเดียว คือว่าใช้อุปสมานุสสติเป็นปกติ (ระลึกถึงพระนิพพาน) แต่ว่าที่พูดเมื่อกี้นี้ ขอพระองค์อย่าทรงคิดว่าอาตมาพยากรณ์ นี่เป็นที่อาตมานิมิตไปแล้วพระท่านมาพูดแบบนั้น อาตมาไม่มีสิทธิ์ในการพยากรณ์ว่าใครจะเป็นพระอริยเจ้าขั้นไหน”

    ✴️ ท่านบอกท่านรับทราบ ดีไม่ดีท่านไปเล่าให้ชาวบ้านหาว่าเราพยากรณ์ ซวยใช่ไหม ท่านบอกท่านบันทึกเทปไว้ทั้งหมด ในหลวงบอก ไม่เป็นไรหลวงพ่อ ผมบันทึกไว้หมดแล้ว ใครก็ว่าไม่ได้ หลวงพ่อก็พูดตามนิมิต อันนี้รู้สึกท่านบันทึกไว้หลายเทป เท่าไรรู้ไหม ๕ ชั่วโมง เศษเท่าไรก็ไม่รู้ ก็ ๕ คาสเซทกว่าน่ะ คุยกันไปท่านก็บันทึก ท่านขออนุญาตบันทึก

    เอ๊ะ ! คุยๆ ไป
    พระราชินีตรัสถามว่า “ประเทศลาวนี่จะกลับเป็นอิสรภาพได้ไหม...?”

    ✴️ นั่น ! เอาเข้านั่น พระเจ้าแผ่นดินมองหน้าว่า นี่เธอถามยังไง วันนี้เราคุยธรรมะกัน พระราชินีบอก อันนี้ก็ธรรมะเหมือนกัน ฉันสงสารเขานี่ ฉันสงสารเขา ฉันก็มีพรหมวิหาร ๔ (หัวเราะ) ฉันก็สงสารเขานี่ ฉันเห็นเขาลำบากฉันก็สงสารเขา

    ⚜️ก็เลยบอกว่า “ประเทศลาวมีโอกาสเป็นอิสรภาพตามเดิม แต่ว่าต้องขอเวลานิดหน่อย แต่ไอ้ไข้กว่าจะหายนี่ต้องฉีดยากันบ้าง ผ่าตัดกันบ้าง อาจจะต้องแหลกลาญกันไปบ้างชั่วขณะหนึ่ง”

    ท่านก็หันมาถามว่า “ประเทศไทย”

    ⚜️บอก “ประเทศไทยก็ไม่เป็นไร แต่ว่าต้องผ่าตัดกัน คำว่าผ่าตัดก็หมายถึงว่า ต้องผ่าตัดทั้งภายในและผ่าตัดทั้งภายนอก”

    ✴️ ท่านก็พอใจ ท่านเชื่อเพราะว่า ท่านหญิงวิภาวดีเคยเล่าอะไรให้ฟัง บอกว่าถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆ ล่ะก็ ต้องรับฟัง บอกว่าถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆ ล่ะก็ ต้องรับฟังด้วยนะ เพราะเสียท่ามาสองหนแล้ว อีตอนรัฐบาลเสนีย์น่ะท่านถามว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ไปได้นานไหม บอก ไม่เกิน ๕ วันไป นี่ ๓ วันไปนะ

    ✴️ และตอนที่ไปสุโขทัย วันนั้นได้สตังค์แปดหมื่นเศษ ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อไปที่พระรูปพระเจ้ารามคำแหง เลยบอกว่าไม่ดันไม่ไป ถ้ายังไม่ถึงแสนไม่ลุก ไม่ยอมลุกจากที่ อีก ๑๐ นาทีกว่าๆ ก็ได้แสน ครบแสน ท่านก็เลยวิทยุไปกราบทูลในหลวง

    พระราชินีท่านก็เลยบอกว่า ท่านหญิงวิภาวดีเคยบอกไว้ ถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆ หัวเราะล่ะก็ ต้องรับฟังไว้ด้วยนะ แล้วท่านก็เลยบอกว่า เอ๊ะ ! มันก็จริงมาทุกอย่างที่รับฟังมา อันนี้ฉันเชื่อ บอกว่า เชื่อก็... ฟังอาตมาแล้วก็ฟังคนอื่นด้วย พระเจ้าแผ่นดินก็เลยบอก เอ๊ะ ! หมอดูหลายคนเขาก็ว่ายังงั้น ว่า ๓-๔ ปีข้างหน้าบ้านเมืองจะเรียบร้อยและมีความสงบสุข ว่าคำพยากรณ์ของหลวงพ่อคงจะจริง

    ⚜️เลยบอกว่า “อาตมาไม่ได้พยากรณ์เอง อาศัยพุทธพยากรณ์กับคำพยากรณ์พระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา”

    ตอนนี้พระเจ้าแผ่นดินก็ตรัสบอกว่า ข่าวเขาจะลอบฆ่าผมกับพระราชินีทั้งสองคนมีมาตลอดเวลา ที่นักศึกษาฝ่ายซ้ายอันนี้ฉันได้ยินข่าวมานานแล้วเหมือนกัน และก็ทางตำรวจตระเวนชายแดนเขาก็แจ้งข่าวกันไปทั่ว ให้ป้องกันพระองค์อย่างหนักและราชวงศ์

    ✴️ และก็ตอนที่แล้วมาท่านเสด็จไปที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีข่าวว่านักศึกษาญวณลูกญวณที่มาเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยน่ะ สองคนมันจะฆ่า ที่รู้ได้เพราะรู้ได้จากตอนนั้น มันไปลาพ่อลาแม่ว่า วันนี้อาจจะไม่ได้กลับและขอลาว่าตามแผน

    ✴️ ในเมื่อพระองค์พระราชทานปริญญาบัตร พอถึงจังหวะเขาสองคนจะเข้าประหารพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชินีทันที และพร้อมกันนั้นเขาอาจจะตาย เขาพร้อมที่จะตาย

    ท่านบอกท่านได้ยินข่าว และก็ผมก็ไป
    ⚜️ ถามว่า ทำไมจึงไป

    บอก ถ้าไม่ไป เราก็เป็นผู้แพ้ เราต้องไปในที่ทุกสถานที่เขาจะฆ่าเรา เราจึงจะไม่เป็นผู้แพ้ ดีไม่ดีข่าวนี้อาจจะปล่อยข่าวเฉยๆ พอเราไม่ไปเขาจะหาว่าเราขี้ขลาด ก็เป็นอันว่าพระเจ้าแผ่นดินขลาดซะคนเดียว คนทั้งประเทศก็ต้องพลอยขลาดด้วย

    ✴️ นี่น่ะ...น้ำใจของพระองค์เป็นยังไง !

    พอถึงตรงนี้
    พระราชินีก็เลยถามว่า “พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่า ทั้งสองคนนี่จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม จะต้องการพระศาสนาทรงตัวอยู่”

    ⚜️บอกว่า “ก็ได้ ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อของคอมมิวนิสต์”

    ท่านถามอีกที “ว่าฉันทั้งสองคนนี้ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วย และฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งฆ่าไหม...?”

    ✴️ อีตอนนั้นเราเผลอ เผลอเลย ไม่เผลอก็ไม่รู้ เพราะว่าเวลาจะไปก็อาราธนาสมเด็จฯ ท่านไว้ บอกว่าถ้าถ้อยคำใดที่ควรจะพูด ก็ขอให้พระองค์จัดการพูดไปเอง เราไม่ได้ใช้สมองเลยนะ พอถามตรงนี้เลยไม่รู้นะพูดไปยังไง

    ⚜️บอกว่า “ก็ในเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และการมาเกิดคราวนี้ต้องการจะเกิดจรรโลงชาติให้คงอยู่ ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข และเรื่องอะไรที่ต้องมาตายเพราะเรื่องคมอาวุธล่ะ ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องตายด้วยเรื่องคมอาวุธอันนี้ไม่มี”

    ✴️ ความจริงพูดกับพระเจ้าแผ่นดิน เขาไม่พูดว่าตายนะ ต้องเป็นสมเด็จใหญ่แน่ เพราะท่านคุมอยู่ใช่ไหม ท่านคุมไปตลอดเวลา พระราชินีก็ยิ้ม ก็คุยกันไปคุยกันมา และท่านก็เตือนพระเจ้าแผ่นดินว่าใช้เวลามาก ท่านบอกว่า พักทีหลวงพ่อจะเหนื่อย ใช้เวลาเข้าไป ๓ ชั่วโมงกว่าแล้ว ท่านก็เตือน พระเจ้าแผ่นดินท่านก็เฉย ท่านก็คุยของท่านไปเรื่อย ไอ้เราก็ต้องคุยกับท่านนะ

    ✴️ แล้วพระราชินีก็เสด็จออกไปข้างนอกสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเปิดประตูเข้ามา ท่านก็มาบอกว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อที่ไม่เคยเห็นหลวงพ่อเลย คือพวกชาววัง เขาต้องการจะมานมัสการหลวงพ่อ ท่านก็เลยเปิดประตูไว้

    ✴️ ความจริงเรื่องนี้มันควรที่จะเป็นเรื่องของพระเจ้าแผ่นดินท่านตรัสน่ะ เราก็พูดไปเองบอกว่าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ให้เขาเข้ามาไหว้ก็ได้นี่ ไอ้เราเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเองน่ะตอนนั้น (หัวเราะ) มันชักจะนอกคอกไปแล้ว เห็นจะเป็นสมเด็จใหญ่ เพราะท่านคุมอยู่

    พระเจ้าแผ่นดินท่านหัวเราะ ท่านหันไปตรัสบอก เข้ามาๆ สิ อยากจะมาไหว้หลวงพ่อเข้ามา ท่านกวักมือหัวเราะ...หัวเราะใหญ่ ไอ้เราก็นึก...พอรู้สึกตัวก็นึก เอ๊ะ ! นี่ย่องเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเมื่อไรก็ไม่รู้นี่ เอาซะเองแล้ว เขาก็มาเขาก็กราบกราบสัก ๕ นาทีเขาก็ไป และคุยกันไปคุยกันมาอีก อีกพักหนึ่ง

    พระราชินีบอก เลิกเหอะ หลวงพ่อท่านเหนื่อย ท่านเหนื่อยมากแล้ว นี่ตั้งแต่ ๓ โมงมาถึง ๒ ทุ่มกว่าแล้ว

    ✴️ พระเจ้าแผ่นดินท่านก็เฉย ท่านก็ว่าเรื่อย ก็คุยเรื่อยไปยังไม่จบ เรื่องท่านน่ะ ก็ไม่มีอะไร เรื่องกรรมฐานโดยเฉพาะ มาตอนหลังสมเด็จพระราชินีบอก เอายังงี้แล้วกัน เลิกเสียทีเถอะแขกเขามาคอยอยู่ข้างนอกตั้งเยอะแล้ว มันเลยเวลานัดเขาไว้ ๒ ทุ่ม (หัวเราะ) ว่าแขกเขามาคอยไปเถอะ หลวงพ่อท่านก็เหนื่อยมากแล้ว

    ⚜️เราเลยได้จังหวะบอก ถ้างั้นอาตมาขอถวายพระพรลา ลุกมาเลย ก็ล่อเต็มที่ ! ตอนจะลุกมา บอกแหม...ผมยังไม่จบเรื่องเลย วันหลังต้องนิมนต์หลวงพ่อใหม่ ก็เลยบอกท่านบอกว่า ถ้านิมนต์ล่ะก็ ขอให้เป็นข้างนอกแบบนี้สะดวกดี ถ้าในพระราชวังในกรุงเทพฯ ไม่เป็นเรื่อง เพราะการเข้าไปลำบาก ท่านบอก ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องของผม เรื่องของผมก็ไม่ต้องผ่านหน้าประตู ผมจะให้รถหลวงไปรับแล้วเข้ามาคุยกันตามลำพังแบบนี้

    ✴️ ก็เลยเดินนึกทบทวนมา ทบทวนความหลังว่า ที่วัดนี่ ๔๕ นาทีใช่ไหม เลยเวลา ท่านมีกำหนดเวลาไว้ ๑๕ นาที ก็ว่าเสีย ๔๕ นาที ไปที่สงขลาไม่มีกำหนดเวลา ว่าซะมืดเลยใช่ไหม ๓๕ นาที ไปดอยอ่างขาง 3 ชั่วโมง ไปที่ภูพิงค์ฯ นี่ ๕ ชั่วโมงเศษ นี้ถ้าหากว่าเข้าไปในพระที่นั่งดุสิตสวนจิตรฯนี่ สงสัยจะว่ากันทั้งวันก็ไม่รู้ (หัวเราะ) นี่เอาละจบกันนะ

    ️หนังสือธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๒๖ หน้า ๕๕-๖๔
    ⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    ️คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
    จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

    FB_IMG_1629340836557.jpg
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
    พยสนสูตร
    [๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ความฉิบหาย ๑๑ อย่างเป็นไฉน คือ

    ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ ๑
    เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
    สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
    เป็นผู้เข้าใจว่าได้บรรลุในสัทธรรม ๑
    เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
    ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
    บอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อหินภาพ ๑
    ถูกต้องโรคอย่างหนัก ๑
    ย่อมถึงความเป็นบ้า คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑
    เป็นผู้หลงใหลทำกาละ ๑
    เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่างอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ฯ

    จบสูตรที่ ๖

    อ้างอิง
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๗๖๙๑ - ๗๗๐๓. หน้าที่ ๓๓๕.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=7691&Z=7703&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=213
    ขอบคุณภาพจาก http://upload.wikimedia.org/

    พระสูตรนี้เป็นสูตรที่ ๖ ชื่อ "พยสนสูตร" เหมือนกับ สูตรที่ ๘ เป็นพระไตรปิฎกและพระสุตตันตปิฎกเล่มเดียวกับ ต่างกันตรงที่ ความฉิบหาย สูตรที่ ๖ มี ๑๑ ประการ แต่สูตรที่ ๘ มี ๑๐ ประการ
    ความต่างที่สังเกตได้ ก็คือ สูตรที่ ๘ ไม่มีความฉิบหายประการที่ว่า "บอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อหินภาพ"
    :25:
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    ผู้ใดกล่าวตู่ใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ ๑๐ ประการ

    โทษของการกล่าวตู่ใส่ร้ายพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ๑๐ ประการดังนี้ คือ

    ๑.จะมีทุกขเวทนาเกิดขื้นทันตาเห็น
    ๒.จะมีทุกขเวทนาอันรุนแรง เช่นเจ็บศีรษะ เจ็บลิ้น เจ็บฟันเกิดโรคสาหัส
    ๓.ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ โดยวิธีใดๆจะเสื่อมสูญหมดสิ้นไป

    ๔.จะมีทุกขเวทนา ถูกตัดมือ ตัดจมูก ตัดหูเป็นต้น
    ๕.จะเกิดโรคพยาธิอันหนัก จะง่อยเปลี้ยตัวตายเป็นโรคเรือนรักษาไม่หาย

    ๖.จะเป็นบ้าใบ้ วิกลจริต เสียสติ ไม่สมปฤดี
    ๗.จะเกิดความฉิบหาย แก่ราชทันฑ์อาชญา ถูกริบทรัพย์อยู่ดี ๆมีคนกล่าวหาว่าเป็นโจร มีคนใส่โทษให้ถูก โจรปล้นถูกคนวิจารย์ส่อเสียด
    ๘.บุตรภรรยาและวงศาคนาญาติที่รักใคร่จะล้มหายตายจากพลัดพรากฉิบหาย

    ๙.ทรัพย์สมบัติจะกลายเป็นกระดูก เป็นกระเบื้อง เป็นถ่านเพลิง
    ๑๐.จะเกิดไฟฟ้า ไฟป่าไหม้บ้านเรือน หรือไฟเกิดขี้นมาเองตามธรรมชาติ ลูกหลานท่านใดได้อ่านข้อความในการกล่าวตูใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ

    โทษ ๑๐.ประการนี้แล้วโปรดได้สำรวมระวัง ด้วยความเป็นห่วงและปรารถนาดีต่อลูกหลานทุกคนจึงเตือนมาเพื่อให้รับทราบ วิธีแก้จากเรื่องที่หนักๆ ให้เบาบางลงให้ตั้งอกตั้งใจพยายามหมันบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลให้มากๆ ถึงแม้ในชาตินี้มันจะไม่หมดสิ้นลงไปโดยตรง แต่ก็เผื่อชาติหน้าจะได้เป็นคนดีกับเขาบ้าง

    โดย พระครูวรรณโสภณ วัดนาครินทร์ ต.ตู อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ
    ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

    ที่มา http://www.watnakkharin.org/index.php?mo=3&art=231384
    ขอบคุณภาพจาก http://2.bp.blogspot.com

    ภาพจาก http://www.bloggang.com/
    โทษการกล่าวตู่พระรัตนตรัยด้านบน ผมไม่ทราบที่มาที่ชัดเจน และไม่ทราบว่าพระครูวรรณโสภณนำมาจากไหน แต่พิจารณาดูแล้ว แต่ก็นับว่าใกล้เคียงกับเรื่องพระไตรปิฎก

    ผมลองนึกถึง คนที่ปรามาสพระสงฆ์แล้วได้รับโทษทัณฑ์ ที่มีในพระตรปิฎก เท่าที่นึกได้มีดังนี้ครับ

    คนแรกที่นึกได้ คือ โชติปาละ(ชาติหนึ่งของพระสมณโคดม)
    เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด

    อ้างอิง
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
    พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐) ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ บรรทัดที่ ๗๘๔๙ - ๗๙๒๔. หน้าที่ ๓๖๑ - ๓๖๔.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=32&A=7849&Z=7924&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=392

    คนต่อมาคือ พ่อค้าผู้ถูก พระปิลินทวัจฉเถระ เรียกว่า คนถ่อย

    พระปิลินทวัจฉะ เป็นผู้มีปกติเรียกภิกษุด้วยกัน และคฤหัสถ์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำว่า“วสละ” ซึ่งเป็นคำหยาบ หมายถึง “คนถ่อย” โดยมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้:-

    วันหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ เห็นชายคนหนึ่งถือถาดใส่ดีปรีเต็มถาดกำลังเข้าไปในเมือง
    ท่านจึงถามว่า “แนะเจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นถืออะไร ?”
    ชายคนนั้นได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที จึงตอบไปว่า “ขี้หนู ครับท่าน”
    พระปิลินทวัจฉะ ก็พูดเป็นการรับทราบตามคำของชายคนนั้นว่า
    “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นขี้หนู

    ด้วยอำนาจแห่งคุณความเป็นพระอรหันต์ของพระเถระ และคำพูดไม่ดีอันเกิดจากอกุศลจิตของชายคนนั้น ทำให้ดีปรีในถาดของเขากลายเป็นขี้หนูไปเสียทั้งหมด เขาตกใจมาก เพราะคิดขึ้นได้ว่ายังมีดีปรีอยู่ในเกวียนนอกเมืองอีก เมื่อเขากลับไปดูก็พบว่าดีปรีกลายเป็นขี้หนูไปทั้งหมด

    จริง ๆ เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่งเพราะดีปรีเหล่านั้นเป็นของมีค่ามาก และเขาเตรียมเพื่อจะนำมาขาย ขณะที่เขาแสดงอาการเสียใจและกำลังโกรธพระเถระอยู่นั้น มีอุบาสกคนหนึ่งเดินผ่านมา สอบถามได้ทราบความแล้วก็เข้าใจเหตุการณ์โดยตลอด จึงแนะนำขึ้นว่า:-

    “ดูก่อนสหาย ท่านจงถือถาดขี้หนูนี้ไปยืนรอที่หนทาง ซึ่งพระเถระผ่านมา เมื่อพระเถระผ่านมาเห็นแล้วก็จะถามว่า “แน่เจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นคืออะไร ?”
    ท่านก็จงตอบว่า “ดีปรี ครับท่าน”
    พระเถระก็จะกล่าวว่า “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นดีปรี” อย่างนี้แล้ว ท่านก็จะได้ดีปรีกลับคืนมา
    ชายคนนั้นทำตามคำแนะนำของอุบาสก และในที่สุดขี้หนูก็กลับกลายเป็นดีปรีดังเดิม

    ที่มา http://www.84000.org/one/1/41.html

    คนต่อมาคือ โสเรยยะ คิดอยากได้ พระมหากัจจายนเถระ เป็นภริยา

    ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่าพระมหากัจจายนเถระ เป็นผู้มีรูปร่างสง่างามผิวเหลืองดุจทองคำสะอาดผ่องใจ เป็นที่ต้องตาถูกใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป

    จนกระทั่งมีเหตุการณ์วิปริตเกิดขึ้นแก่บุตรเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองโสเรยยะ ชื่อว่า โสเรยยะ เหมือนชื่อเมือง ขณะที่เขานั่งบนยานพาหนะกับสหายเพื่อไปอาบน้ำพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ได้เห็นพระเถระกำลังยืนห่มจีวร เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วเกิดความพอใจ ในดวงจิตคิดอกุศลขึ้นว่า “งามจริงหนอ พระเถระรูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเรา หรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้” ด้วยอกุศลจิตคิดเพียงเท่านี้ ทำให้เพศชายของเขาหายไป กลายเป็นเพศหญิงไปทั้งร่างทำให้เขาอับอายเป็นอย่างมาก

    และโดยที่ไม่มีใครรู้เขารีบลงจากยานนั้นแล้วเดินตามกองเกวียนพ่อค้าไปยังเมืองตักสิลา และได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น อยู่ร่วมกันจนมีบุตร ๒คน แต่เดิมทีที่เขาอยู่ในเมือง โสเรยยะนั้น เขาก็มีภริยาอยู่แล้วและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน เช่นเดียวกัน จึงปรากฏว่าเขาเป็นทั้งพ่อและแม่ หรือเป็นทั้งผัวและเมียในชาติเดียวกันนี้

    ต่อมา พระมหากัจจายนเถระ จาริกมายังเมืองตักสิลา โสเรยยะทราบแล้วจึงเล่าเรื่องราวของตนที่ผ่านมาให้สามีฟัง แล้วพากันไปกราบขอขมาโทษต่อพระเถระ เมื่อท่านทราบเรื่องโดยตลอดแล้วก็ยกโทษให้ และเพศหญิงก็หายไปเพศชายปรากฏขึ้นมาเหมือนเดิม เขาเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระเถระเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนแปลกคือเป็นทั้งชายและหญิงในอัตภาพเดียวเท่านั้น และยังคิดว่าไม่ควรที่จะอยู่ครองเพศฆราวาสต่อไป จึงมอบบุตรทั้ง ๔ คนให้บิดามารดาเลี้ยงดูต่อไป ส่วนตนเองได้ขอบวชในสำนักพระเถระ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในกาลต่อมา

    http://www.84000.org/one/1/15.html

    คนต่อมา คือ นางจิญจมาณวิกา และนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี

    เรื่องนางจิญจมาณวิกา เพื่อนๆคงทราบกันดีว่า นางไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่าทำเธอตั้งครรภ์ สุดท้ายก็ลงอเวจี
    อ่านเรื่องนี้ได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=23&p=9
    ส่วนเรื่องของนางสุนทรี คล้ายๆกับนางจิญจมาณวิกา นางสุนทรีกล่าวตู่ว่า อยู่ร่วมพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม สุดท้ายก็ถูกพวกพวกเดียรถีย์่ฆ่าปิดปาก
    อ่านเรื่องนางสุนทรีได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=32&p=1


    เพื่อนสมาชิกท่านใด มีข้อมูลมากกว่านี้ ช่วยนำเสนอด้วยครับ
     
  4. ศิษย์รุ่นจิ๋ว

    ศิษย์รุ่นจิ๋ว นิพพานัง ปัจจโยโหตุ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    64,150
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +80,649
    เรื่องที่พระพันปีหลวงทรงเป็นพระโสดาบันนี้ ผมเคยอ่านเจอเหมือนกันเมื่อสิบกว่าปีมาเเล้ว เเต่จําไม่ได้เเล้วว่าอ่านเจอที่ไหน ขอบคุณที่นําลงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...