วิธีทำให้ถึงอรหันต์ สั้นที่สุด ง่ายที่สุด ...เวลานั้นองค์สมเด็จพระทศพลเสด็จมาพอดี ทรงประทับยืนอยู่เหนือศีรษะด้านหน้า มีแสงสว่างมากแล้วท่านตรัส ท่านบอกว่า "คุณ คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วทั้งหมดนี้กำลังใหญ่ คือเข้าถึงนิพพานทุกคน แต่ทว่าเพื่อความไม่ประมาทให้เขาทำอย่างนี้ วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนก็ได้ เวลาที่ใจสบาย ถ้าเวลาอื่นมันติดงานมากก็เอาเวลานอน นอนก่อนจะหลับหรือว่าตื่นใหม่ๆ ใจสบาย เอาจิตใจจับนึกถึงท่าน ( พระพุทธเจ้า) ถ้าบุคคลใดไม่ได้ทิพจักขุญานก็นึกภาพเอาเอง กำหนดภาพพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ให้เป็นประกาย บังคับจิต ถ้าเห็นเป็นสีเหลืองก็บังคับให้เป็นสีแก้วให้ได้ ทำอยู่อย่างนี้ไม่กี่วันหรอกก็เป็น ให้จิตมันเป็นฌาน ถ้านึกถึงเมื่อไรก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสีแก้วเป็นประกายทุกวัน" องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ท่านบอกว่า ถ้าเขาทำอย่างนี้นะ ได้ทุกวันอย่าได้ขาด วันหนึ่งใช้เวลา 2-3 นาทีก็ไม่เป็นไร ฉันไม่จำกัดเวลาว่าจะใช้เวลานานหรือเวลาเร็ว ถ้าเขาทำอย่างนี้ได้ทุกวันแล้วก็ทรงอารมณ์ตามที่บอกไว้คือ 1) นึกถึงความตายไว้ อย่าประมาทในชีวิต 2) เคารพในพระรัตนตรัย 3) ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ 4) จิตหวังพระนิพพานอย่างเดียว ท่านบอกว่าเป็นอย่างนี้ละก็ ถ้าก่อนอายุขัยของเขา 7 วัน ท่านกำหนดให้เลยนะ ว่าก่อนอายุขัยอีก 7 วันต้องตายแน่อยู่ไม่ได้ ตอนนั้นกระแสจิตของเขาจะเห็นภาพในอากาศเต็มจักรวาล ทั้งพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี แพรวพราวไปหมด และก็หลังจากนั้นไปเมื่อกำลังใจของตนจะพ้นกำหนดในการทรงสังขาร *สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่าจะเข้าถึงอรหัตผลทันที* คำสอน หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 39
เรียน ท่านผู้อ่านทุกท่าน จากการที่ท่านสมาชิกบางท่านเข้ามาโพสต์(ซึ่งลบไปแล้ว) ได้ทำให้จขกท.ฉุกคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านหากมีการชี้แจงรายละเอียดไว้ ณ ที่นี้ค่ะ... แรกเริ่มเดิมทีนั้นจขกท.กำลังหาวิธีป้องกันการตกนรกอยู่ สารภาพตามตรงว่าเป็นเพราะส่วนตัวปรารถนาพระโพธิญาณ จึงทำให้ยังไม่สามารถปิดอบายภูมิได้สนิท 100 % (เพราะยังไม่ใช่พระอริยเจ้า) ดังนั้นวิธีการทำบารมีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องหาทางสร้างบุญบารมีให้ได้มากที่สุด และสามารถหนีนรกได้เมื่อถึงคราวตาย อันจะทำให้เราได้ไปเกิดยังภพภูมิที่ดี มีสวรรค์และพรหม เป็นต้น จะได้สามารถมาเกิดเป็นมนุษย์สร้างบารมีใหม่ได้อีกครั้ง ไม่ต้องเสียเวลาไปตกนรกแล้วผ่านการเป็นอสุรกาย เปรต และสัตว์เดรัจฉานตามลำดับ ซึ่งจะทำให้เสียเวลาในการทำบารมีเป็นอย่างมาก ทีนี้พอจขกท.ศึกษาคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี)ไปเรื่อยๆ ก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่ท่านสอนเราอยู่เสมอๆคือ เวลาหลวงพ่อท่านจะสอนอะไรก็ตาม พระท่านจะแนะนำให้สอนให้ง่ายที่สุดแต่ได้ผลดีที่สุดอยู่เสมอๆ และเวลาจะใช้คำหรือภาษาก็ให้ใช้แต่คำที่ง่ายๆ ให้(ผู้ฟัง)รู้สึกว่าเป็นของไม่หนัก(เป็นของไม่ยาก) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้จขกท.รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก และก็ตั้งใจเลียนแบบวิธีการดังกล่าวนี้ในฐานะของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ และทั้งหมดนี้ก็ทำให้จขกท.เกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนกระทู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันการตกนรกขึ้นมา จขกท.จึงได้พยายามรวบรวมข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่การชำระหนี้สงฆ์ การรักษาศีล การให้ทาน และการบำเพ็ญภาวนา ไปจนถึงการอธิษฐานและอุทิศส่วนกุศล(ยังเขียนไม่เสร็จ) โดยวางเนื้อหาแบบง่ายที่สุดที่หลวงพ่อท่านได้สอนเอาไว้ เพื่อเป็นการปูรากฐานในการทำความดีแบบง่ายๆสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้น จะได้ไม่รู้สึกว่ายากจนเกินไป และให้ทราบว่าการทำความดีในพระพุทธศาสนานั้นไม่จำเป็นต้องใช้สตางค์เสมอไป แม้จะมีฐานะยากจนอย่างไรก็สามารถทำทานบารมีให้ได้อานิสงค์สูงสุดได้ ดังวิธีการต่อไปนี้ "หลวงพ่อ : คืออานิสงส์จริง ๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ สมมุติว่าเรามีเงินอยู่ 10 บาท จะไปมาที่นี่เสียค่ารถ 6 บาท กินก๋วยเตี๋ยว 3 บาท ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป 9 บาท เหลือ 1 บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่า เงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทาน และ ธรรมทาน อันนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ" แต่ถ้าถามความคิดของจขกท. จขกท.เชื่อว่าทุกท่านที่อยู่ในเว็บพลังจิตนี้ ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ซึ่งจขกท.ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าควรเขียนออกมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วจขกท.ก็คิดขึ้นได้ว่าผลที่จะได้อย่างน้อยที่สุดก็คือ 1. สิ่งนี้จะเป็นเหตุให้จขกท.เข้าใจวิธีการแนะนำคนแบบง่ายๆ และสามารถช่วยเหลือคนจนที่อยากทำความดีในพระพุทธศาสนาได้อีกด้วย เพราะประเทศเรามีคนจนและคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องการทำบุญในพระพุทธศาสนามากจริงๆ (ยกตัวอย่างเช่น การชำระหนี้สงฆ์ หรือการใส่บาตรซึ่งมีอานิสงค์เป็นสังฆทาน เป็นต้น) 2. สิ่งนี้จะเป็นเหตุให้จขกท.ได้อานิสงค์ธรรมทาน 3. สิ่งนี้จะเป็นผลให้ผู้อื่นได้บุญในการ "อนุโมทนา" และยังเป็นผลให้ผู้อื่นได้แชร์กระทู้เป็น "ธรรมทาน" ต่อไปอีก ซึ่งจะเป็นการส่งต่อความรู้ในการทำบุญในพระพุทธศาสนาต่อไป ทีนี้หลังจากที่จขกท.ได้โพสต์กระทู้ "วิธีการป้องกันการตกนรกแบบง่าย" แล้ว บังเอิญว่าจขกท.ไปเจอคำสอนของท่านเรื่อง "วิธีทำให้ถึงอรหันต์ สั้นที่สุด ง่ายที่สุด" เข้า จขกท.อ่านแล้วรู้สึกว่าท่านใช้คำที่เบา ฟังแล้วรู้สึกง่ายดี ทำให้มีกำลังใจในการทำความดีเพื่อไปพระนิพพาน จึงได้นำมาแบ่งปันในหมู่ลูกศิษย์หลวงพ่อเพื่อเป็นธรรมทานและกำลังใจให้แก่กันและกันค่ะ ทีนี้บังเอิญว่ากระทู้นี้ถูกนำไปแปะเป็นเรื่องเด่นที่หน้าเว็บบอร์ด ดังนั้นคนที่เข้ามาอ่านจึงมีหลากหลายรูปแบบ ก็อาจจะมีทั้งที่เข้าใจและไม่เข้าใจได้ เลยอยากจะขอเรียนไว้คร่าวๆ ดังนี้นะคะ 1. "วิธีทำให้ถึงอรหันต์ สั้นที่สุด ง่ายที่สุด" ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)นั้น เป็นกุศโลบายให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงอารมณ์พระโสดาบัน และมีใจ(จิต)เกาะอารมณ์นี้อยู่เสมอๆ ซึ่งจะมีผลให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงอารมณ์พระอรหันต์(อรหัตผล)ในท้ายที่สุดนั่นเอง 2. ท่านใช้ภาษาที่เรียบง่าย วิธีการที่เรียบง่าย แต่ได้ผลดี เพราะผู้ฟังจะรู้สึกว่าเป็นของง่ายและทำได้ไม่ยาก 3. ท่านใดที่อ่านแล้วขอจงอย่าคิดว่าเราเป็นผู้ที่ไม่มีบุญบารมีเพียงพอที่จะปฏิบัติ เพราะบุญบารมีนั้นสามารถเร่งรัดกันได้ และเป็นสิ่งที่ไม่ยาก ขอให้ท่านลองเริ่มต้นจาก step ง่ายๆก่อนคือ ค่อยๆพยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ (โปรดอ่านจากกระทู้"วิธีป้องกันการตกนรกแบบง่ายๆ") จากนั้นให้ลองทำ"พุทธานุสติอย่างง่ายๆ"ในกระทู้ดังกล่าว แล้วค่อยๆศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อในเรื่องนี้ค่ะ สำหรับท่านที่ปฏิบัติในสายการปฏิบัติอื่นๆ เรียนให้ทราบว่าการปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)นั้น มีผลให้ผู้ปฏิบัติสามารถเกิดสภาวะจิตที่ละจากสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา และศีลพตปรามาส อันเป็นสังโยชน์ ๓ ประการได้อย่างแน่นอน และวางอยู่บนพื้นฐานของสมถะและวิปัสสนาญาณในกรรมฐานกองต่างๆ อย่างครบถ้วนตามคำสอนของพระพุทธองค์ ดังนั้นหากท่านอ่านแล้วรู้สึกไม่เข้าใจก็ขอให้ข้ามไป อย่าให้อุปสรรคทางภาษาและบุญบารมีที่สั่งสมมาแตกต่างกันเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิด จนเลยเถิดไปถึงการต่อว่าและโจมตีซึ่งกันและกัน อันจะทำให้เกิดโทษแก่ทุกฝ่ายและไม่เป็นผลดีต่อพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติในพระพุทธศาสนานั้นมีหลายแนวทางและหลายระดับ เพื่อรองรับอุปนิสัยและวาสนาบารมีของสรรพสัตว์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการมีวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องตรงทางและหลากหลายย่อมเป็นผลดีต่อพระพุทธศาสนาและสรรพสัตว์ทั้งหลาย(ทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป)มากกว่าค่ะ ยกตัวอย่างเช่น - การฝึกกสิณหรืออภิญญาเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ เพราะเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ว่าคำสอนต่างๆในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องจริง(เช่น การเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิต่างๆ) อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาทางนี้แต่อดีตชาติ เพราะจะทำให้เขาสามารถตัดกิเลสเป็นพระอริยเจ้าได้ง่ายขึ้นโดยอาศัยบารมีเดิมที่เคยบำเพ็ญมา - การฝึกในแนวทางหลุดพ้นแบบไม่ต้องมีฤทธิ์หรือทิพจักขุญาณ(สุขวิปัสสโก)ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาไว้ เพราะว่าเป็นแนวทางที่เหมาะกับคนที่บำเพ็ญบารมีมาทางนี้แต่อดีตชาติเช่นกัน หากเขาไม่ได้ฝึกในแนวทางนี้แต่ไปฝึกแบบมีฤทธิ์หรือทิพจักขุญาณ เขาก็ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้เพราะไม่ถูกกับจริตและวาสนาบารมีเดิมของเขา - หรือแม้แต่การปฏิบัติในขั้นทาน(สังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน)และศีล ๕ ก็ต้องมีการส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และเกิดกำลังใจที่จะปฏิบัติด้วยวิธีการที่ง่ายๆ เพราะคนเรานั้นมีพื้นฐานและบารมีที่สั่งสมมาแต่เดิมแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีหลักรองรับคนเหล่านี้ไว้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถต่อยอดสร้างบุญบารมีได้ต่อไป และในบางครั้งคนเหล่านี้ก็อาจจะมีบารมีเดิมมามากและใกล้จะหลุดพ้นแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาเพราะกรรมต่างๆปิดบังไว้ หากได้มีโอกาสศึกษาเมื่อไหร่ก็อาจจะก้าวหน้าได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว *** ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
เคยค่ะคุณ DR-NOTH แต่ว่านานมากแล้วตั้งแต่ฝึกมโนมยิทธิใหม่ๆอ่ะค่ะ ถ้าเป็นช่วงหลังจากนั้นส่วนใหญ่จะนึกถึงพระท่านอย่างเดียวเลย ยกเว้นเวลาท่านมีเรื่องจะสงเคราะห์ท่านจะมาปรากฎในสมาธิพร้อมกับพระท่านค่ะ
ซาบซึ้งกับคำสอนของหลวงพ่อ สั้น ง่าย เข้าถึงใจ และปฏิบัติตามแบบไม่กังขาใดๆ โมทนากับเจ้าของกระทู้ค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ