เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,943
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,580
    ค่าพลัง:
    +26,420
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,943
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,580
    ค่าพลัง:
    +26,420
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพฝ่าความหนาวไปถึงอาคารเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษามหาราช วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ตั้งแต่ ๖ โมงครึ่ง ตั้งใจว่าจะไปนอนต่อสัก ๑ ชั่วโมง แล้วค่อยลงไปกราบผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งเจ้าคณะปกครองและทักทายเพื่อนฝูง

    ปรากฏว่าพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ซึ่งวันนี้มาในตำแหน่งรองแม่กองธรรมสนามหลวงประจำหนกลาง ถือไมค์ลอยมายืนเรียกให้ไปฉันเช้า พร้อมกับให้คนขับรถไปกินอาหารให้เรียบร้อยด้วย กระผม/อาตมภาพจึงต้องควักกระเป๋านำเอาเงินสด ๑๐๐,๐๐๐ บาท ไปถวายเป็นค่าข้าวต้ม ๑ ชาม เพื่อสนับสนุนงานตรวจข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโทสนามหลวง ประจำปี ๒๕๖๗ ทำเอาบุคคลที่เห็นฮือฮาไปตาม ๆ กัน ว่า "ทำไมข้าวต้มวัดไร่ขิงถึงได้แพงขนาดนี้..!"

    วันนี้เป็นวันรวมบรรดาพระสังฆาธิการ โดยเฉพาะท่านที่เป็นคณะกรรมการตรวจข้อสอบธรรมสนามหลวง ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลางทั้ง ๒๓ จังหวัด ซึ่งมาตรวจข้อสอบที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษามหาราช วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) โดยที่วันนี้ตรวจข้อสอบนักธรรมชั้นโท พรุ่งนี้จะเป็นการตรวจข้อสอบธรรมศึกษาชั้นโท

    เหตุก็เพราะว่าพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ นั้น ท่านเป็นรองแม่กองธรรมสนามหลวงประจำหนกลาง จึงได้รับการแบ่งสันปันส่วนงานมาให้ช่วยตรวจข้อสอบในครั้งนี้ด้วย ซึ่งกระผม/อาตมภาพยังคิดว่า "มีคนเอาเปรียบเจ้านายของเรา" เนื่องเพราะว่านักธรรมเอกที่มีคนสอบน้อยกลับไม่ส่งมาให้เราตรวจ แต่นักธรรมโทปีนี้ คนสอบเป็นแสนกลับส่งมาให้เราตรวจ..! ได้ยินจำนวนข้อสอบที่ต้องตรวจแล้วก็ออกอาการ "น้ำตาจิไหล"

    เมื่อกราบทักทายพระเถรานุเถระ โดยเฉพาะเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอทั้ง ๒๓ จังหวัดที่ทยอยกันมาก ก็อย่างที่บอกเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าไม่ใช่เจ้าคณะปกครอง ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นในการอบรมบ้าง เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเทศน์บ้าง เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์บ้าง เพื่อนร่วมรุ่นในการเรียนบ้าง ดังนั้น..แทบทุกรูปจึงรู้จักมักคุ้นกันหมด..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,943
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,580
    ค่าพลัง:
    +26,420
    ยังไม่ทันจะทักทายกันทั่วถึง พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองธรรมสนามหลวง องค์เลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชก็เดินทางมาถึง ด้วยความที่ยืนรอรับอยู่ตรงทางผ่านพอดี ท่านจึงเมตตาทักทายว่า "หลวงพ่อวัดท่าขนุน" แต่ก็ได้แต่เพียงแค่นั้น เพราะว่าท่านเองยังมีงานต่อ จึงไปนำบูชาพระรัตนตรัย รับการถวายสักการะจากบรรดาตัวแทนเจ้าคณะปกครอง ตลอดจนกระทั่งทางด้านส่วนราชการ ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมลงมา แล้วก็เมตตาให้โอวาท โดยเฉพาะกล่าวถึงความก้าวหน้าของทางด้านกองธรรมสนามหลวง ตั้งแต่ท่านรับหน้าที่แม่กองธรรมมา

    ในปัจจุบันนี้สำนักศาสนศึกษาของแต่ละวัดที่เปิดการสอนแผนกธรรมก็ดี แผนกบาลีก็ตาม ตลอดจนกระทั่งแผนกปริยัติสามัญ เราได้มี พ.ร.บ. การศึกษาคณะสงฆ์เพิ่มเติมขึ้นมา จึงต้องมีตำแหน่งเจ้าสำนักศาสนศึกษา มีตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ มีตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ มีตำแหน่งอาจารย์ผู้สอน และมีตำแหน่งเลขานุการสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ อย่างเช่นของวัดท่าขนุนก็ตั้งเป็นรูปเป็นร่างและทำงานมาหลายปีแล้ว

    ปรากฏว่าทางคณะสงฆ์สามารถผลักดันจนกระทั่งได้งบประมาณสนับสนุนจากทางด้านรัฐบาลมาส่วนหนึ่ง ปีที่แล้วมอบให้เฉพาะอาจารย์ใหญ่ของสำนักศาสนศึกษาแต่ละแห่ง มาปีนี้ได้เพิ่มเติมเป็นของเจ้าสำนักศาสนศึกษา และเลขานุการสำนักศาสนศึกษา คาดว่าปีต่อ ๆ ไปคงของบประมาณเพิ่มขึ้นให้กับครูสอนประจำสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ ไปตามลำดับ

    เรื่องพวกนี้แต่เดิมมา แต่ละสำนักศาสนศึกษาก็เกิดจากความเสียสละของเจ้าสำนัก ตลอดจนกระทั่งบรรดาอาจารย์และครูสอนต่าง ๆ ที่นอกจากจะต้องเปลืองเรี่ยวแรงในการสั่งสอนบรรดานักเรียนแล้ว ยังต้องควักงบประมาณหนุนเสริมในการศึกษาด้านต่าง ๆ อีกด้วย อย่างของสำนักศาสนศึกษาวัดท่าขนุน ไม่ว่าจะเป็นแผนกบาลีหรือว่าแผนกธรรมก็ตาม แต่ละปีก็หมดไปนับเป็นแสน ๆ บาท..! แต่ว่าทันทีที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนมาจากทางรัฐบาล ก็เริ่มเกิดข้อครหานินทามา ที่ได้ยินแว่ว ๆ มาตอนนี้ก็คือ "เป็นพระรับเงินเดือนได้ด้วยหรือ ?"

    ทั้ง ๆ ที่ทางคณะสงฆ์ของเรา ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาล มีการถวายนิตยภัต ซึ่งความจริงหมายถึงค่าอาหาร ให้แก่พระสังฆาธิการตลอดจนกระทั่งพระราชาคณะและพระครูสัญญาบัตรต่าง ๆ ซึ่งถวายการรับภารธุระในพระพุทธศาสนา ช่วยดูแลอบรมสั่งสอนกุลบุตรต่าง ๆ ที่เข้าไปบรรพชาอุปสมบท แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญ จึงได้ถวายกำลังใจเป็นปัจจัยสนับสนุนในลักษณะของนิตยภัต ก็คือค่าอาหารที่ถวายให้เป็นประจำ ตั้งแต่สมัยที่ยังรับกันเป็นตำลึง เป็นบาท เป็นสลึง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,943
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,580
    ค่าพลัง:
    +26,420
    มาจนถึงปัจจุบัน อย่างกระผม/อาตมภาพรับในฐานะของพระครูสัญญาบัตรเทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ก็อยู่ที่ ๓,๑๐๐ บาทต่อเดือน ก่อนหน้านี้รับในตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ ๕๐๐ บาท เพิ่มขึ้นมาเป็น ๑,๕๐๐ บาท เพิ่มขึ้นมาเป็น ๑,๘๐๐ บาท ปัจจุบันนี้ ถ้าหากว่าญาติโยมท่านใดรับเงินเดือน ๓,๑๐๐ บาทแล้วสามารถอยู่ได้ ช่วยยกมือบอกกระผม/อาตมภาพด้วย อยากจะไปขอศึกษาว่า "ท่านทำอย่างไรถึงอยู่รอดมาได้โดยไม่อดตายเสียก่อน..!"

    โดยเฉพาะของทางวัดท่าขนุนนั้น เฉพาะค่าไฟฟ้าก็ตกเดือนหนึ่ง ๕๐,๐๐๐ กว่า ๖๐,๐๐๐ บาทอยู่แล้ว แล้วคิดดูว่านิตยภัตที่ท่านทั้งหลายเรียกแบบไม่ดูว่า "เงินเดือนพระ" จำนวน ๓,๑๐๐ บาท จะเพียงพอไปยาขี้ฟันอะไร ?!

    แต่ก็ยังมีบุคคลพยายามที่จะกล่าวถึงว่า เป็นพระภิกษุสามเณรไม่ควรที่จะรับเงิน ถ้าหากว่าไปอยู่ป่าอยู่เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่น โดยไม่ได้นึกถึงบริบทสังคมในปัจจุบันของเราว่า ยังมีป่าเขาที่ไหนให้อยู่อาศัยอีก ? แล้วถ้าไปอยู่อาศัยในลักษณะอย่างนั้น เป็นการตัดตัวเองออกจากสังคม แล้วจะไปสร้างประโยชน์แก่ชนหมู่มาก สร้างความสุขแก่ชนหมู่มาก อนุเคราะห์แก่โลกตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งเอาไว้ได้อย่างไร ?

    อีกส่วนหนึ่งก็ที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ แม่กองธรรมสนามหลวงได้ปรารภในวันนี้ ก็คือท่านบอกว่า พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ป.ธ. ๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกกันด้วยความเคารพเป็นการส่วนตัวว่า "หลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์" ซึ่งตั้งแต่ท่านเรียนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยคแล้ว ก็ได้เข้าไปช่วยงานในกองธรรมสนามหลวงตลอดมา เมื่อเริ่มมีการผลักดันให้มีงบประมาณมา เพื่อที่จะมอบให้เป็นกำลังใจแก่บรรดาครูผู้สอนต่าง ๆ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ ท่านปรารภกับสมเด็จฯ แม่กองธรรมว่า "เหมือนกับพวกเราเป็นลูกจ้างฆราวาส" ซึ่งตรงนี้สมเด็จฯ แม่กองธรรมท่านบอกว่า "กระทบใจ" ท่านอย่างมาก เนื่องเพราะว่า
    เหตุเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนานั้น ความเสียหายเรื่องเงินเป็นเรื่องที่เสียง่ายที่สุด..!

    อย่างเช่นว่าถ้าสำนักศาสนศึกษาหนึ่ง ส่งรายชื่อครูพระสอนทั้งนักธรรมและบาลีไป อย่างเช่นของวัดท่าขนุน แม้ว่าจะมีครูพระนับ ๑๐ รูป แต่กระผม/อาตมภาพก็ส่งไปแค่อย่างละ ๕ รูปเท่านั้น ก็คือครูพระสอนแผนกธรรม ๕ รูป ครูพระสอนแผนกบาลี ๕ รูป ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่ทำงานมีมากกว่านั้น แล้วกระผม/อาตมภาพถึงเวลาก็ควักปัจจัยสนับสนุน ตลอดจนกระทั่งมอบวัตถุมงคลรุ่นเก่าหายาก ให้เป็นกำลังใจแก่ทุกท่านในทุกปี แต่ว่าจุดที่จะเสียหาย ซึ่งสมเด็จฯ แม่กองธรรมท่านได้ปรารภเอาไว้ก็คือ
    ถ้าหากว่าไม่มีครูสอนตามนั้น แต่เราส่งรายชื่อไปเบิกเงินเดือน แล้วความเป็นพระของเราจะเหลือหรือไม่ ?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,943
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,580
    ค่าพลัง:
    +26,420
    ท่านปรารภว่าปีนี้ท่านเองเซ็นรับรองงบประมาณไป ๕๑ ล้านบาท เพื่อมอบให้กับครูพระทั่วประเทศ ท่านเองเซ็นแล้วยังคิดว่า "นี่ตัวเราเองยังจะอยู่ได้อีกกี่วัน ?" เนื่องเพราะว่าถ้ามีความเสียหายขึ้นมา ท่านในฐานะแม่กองธรรมก็ต้องรับไปเต็ม ๆ จึงเป็นเรื่องที่ท่านต้องเตือนพวกเราทั้งหลายให้คำนึงถึงความเป็นพระของเรา เนื่องเพราะว่าพระภิกษุของเรานั้นมีศีลเป็นกฎหมายพิเศษ ซึ่งโทษประหารชีวิตของศีลนั้น ในสายตาชาวบ้านแล้วก็เบาเหลือเกิน

    อย่างเช่นว่าลักทรัพย์ได้ ๕ มาสก ซึ่งตีราคาเท่ากับ ๑ บาทไทย ก็ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปทันที โดยเฉพาะปิดมรรคปิดผล ไม่มีโอกาสที่จะเจริญต่อไปในพระพุทธศาสนา ถึงขนาดใช้คำเปรียบเทียบว่า "เหมือนกับตาลยอดด้วน" ที่ไม่สามารถจะเติบโตต่อไปได้
    ถ้าเราไม่รู้จักระมัดระวัง ไม่รักศีลของตนเอง ความเสียหายใหญ่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาทันที เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายเกิดความโลภขึ้นมาในใจ แล้วก็ส่งรายงานเท็จขอเบิกเงินไปนั้น

    อย่าลืมว่าการผิดศีลนั้นเกิดขึ้นทันทีที่การกระทำนั้นสำเร็จลง ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสิน ท่านขาดความเป็นพระไปทันทีที่หลอกลวงเพื่อเอาเงินเกิน ๑ บาท ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอให้ทุกท่านตระหนักเอาไว้ให้มาก ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะเหลือพระให้ชาวบ้านไหว้ได้แค่ไม่กี่รูปเท่านั้น..!

    เมื่อท่านให้โอวาทจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมาทักทายให้กำลังใจแก่บรรดาพระเถรานุเถระ และครูผู้ตรวจข้อสอบธรรมสนามหลวง พร้อมกับมอบตราตั้งให้แก่ครูผู้ได้รับการแต่งตั้งใหม่ จากนั้นก็ขอตัวเดินทางกลับ เพราะว่าท่านต้องไปศาสนกิจที่จังหวัดขอนแก่นต่อไป

    กระผม/อาตมภาพเองก็ยังเห็นว่า สิ่งที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ แม่กองธรรมปรารภไว้นั้น เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าทำให้พระภิกษุของเราขาดความเป็นพระได้ง่ายเหลือเกิน จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องเอาหลักธรรมในเบื้องต้น คือ หิริ -โอตตัปปะ มาประจำใจเอาไว้ ก็คือ รู้จักละอาย ไม่กล้าทำชั่ว และเกรงกลัวผลชั่วนั้นจะส่งผลร้ายแก่ตนเอง ถ้าเรามีหลักธรรมประจำใจเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งฆราวาสญาติโยมที่รับราชการต่าง ๆ อยู่ ก็จะไม่มีการคอรัปชั่นหรือว่าโกงกิน เพราะว่ารู้จักละอายชั่วกลัวบาปนั่นเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...